15% ของคนวัยทำงานทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต และพวกเขาใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของเวลาแต่ละวันในที่ทำงาน ดังนั้น ที่ทำงานจึงสามารถส่งผลกระทบต่อพนักงานได้เป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ส่งเสริมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางจิต
School of Changemakers เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน จึงเชิญชวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงานที่เป็นผู้ประสบปัญหาโดยตรง เจ้าของกิจการ นักจิตวิทยา คนทำงานภาครัฐ ภาคเอกชน และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่คลุกคลีกับปัญหานี้ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลต่างๆ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจสถานการณ์ปัญหานี้อย่างรอบด้านมากขึ้น เห็นความต้องการที่ยังไม่ได้ตอบสนองจากหลากหลายมิติ และเห็นโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก
สถานการณ์ปัญหา
15% ของคนวัยทำงานทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต พวกเขาใช้เวลาในที่ทำงานถึง 1 ใน 3 ของเวลาแต่ละวัน ที่ทำงานจึงสามารถส่งผลกระทบต่อพนักงานได้ทั้งในแง่ส่งเสริมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางจิต ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 และเพิ่มเป็น 2.3 ล้านคน ในปี 2564 ซึ่งการประเมินความสุขของคนทำงานในองค์กร ปี 2564 พบว่า กลุ่มคนทำงานมีระดับความสุขต่ำกว่ากลุ่มคนวัยอื่น นอกจากนี้ อัตราการฆ่าตัวตาย ในปี 2565 ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงที่สุดในรอบ 5 ปี กลุ่มอายุที่มีการฆ่าตัวตายสูงสุด ก็คือวัยทำงาน อย่างไรก็ตามองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีระบบส่งเสริม ป้องกัน และช่วยเหลือพนักงานด้านสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษา
ผลกระทบ
- ปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง บรรยากาศการทำงานไม่ราบรื่น ลางานบ่อยขึ้น ในที่สุดก็ลาออก
- การลางานเนื่องจากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวลของพนักงานทั่วโลกรวมกัน ทำให้ผลิตภาพการทำงานลดลงเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- การลาออกของพนักงาน ทำให้องค์กรต้องใช้ 15-20% ของรายได้ในการสรรหาและพัฒนาบุคคลากรใหม่ทดแทนตำแหน่งเดิม
- การที่พนักงานไม่ได้รับการส่งเสริม ป้องกัน และช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสม อาจทำให้ปัญหาที่เล็ก เช่น ไม่มีสมาธิจดจ่อ หรือเครียด กลายเป็นปัญหาใหญ่ เช่น ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า ไปจนกระทั่งถึงการทำร้ายตัวเอง
- พนักงานที่มีประวัติเป็นโรคทางจิตเวช เมื่อรักษาจนหายแล้ว ก็ยากที่จะได้รับโอกาสกลับมาทำงาน หรือมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานเท่าเดิม
- มีเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากผู้มีอาการทางจิตเวชเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจของคนในสังคม
เหตุปัจจัย
- ข้อจำกัดหรือปัญหาส่วนบุคคล เช่น ปัญหาการเงิน ครอบครัว สุขภาพ กรรมพันธุ์ พื้นฐานอารมณ์ที่ไม่มั่นคง ความตระหนักรู้ในตัวเองน้อย การไม่มีทักษะจัดการความเครียดและแก้ปัญหา เป็นต้น
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุภาพจิต เช่น สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่อึดอัด ไม่ปลอดภัย บรรยากาศตึงเครียด กดดันสูง งานหนักเกินไป ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป งานที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ขอบเขตงานไม่ชัดเจน ทำงานรูทีนซ้ำๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้างาน ความรู้สึกแปลกแยกจากทีม การเหยียดเพศ การเลือกปฏิบัติ การสื่อสารที่ไม่เป็นมิตร การถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนอื่น เป็นต้น
- คนในองค์กรยังไม่มีความรู้และทักษะด้านสุขภาพจิตที่จะสังเกต เข้าใจ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีเบื้องต้นให้กันและกันได้
- การไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพจิต ทำให้เกิดการตีตราทางสังคม (Social Stigma) คนที่เผชิญปัญหาสุขภาพจิต มักถูกมองว่าอ่อนแอ ขี้เกียจ มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง และศักยภาพลดลง ทำให้คนที่เผชิญปัญหาทางสุขภาพจิตไม่กล้าพูดเรื่องปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองในที่ทำงาน และมักจะสู้ด้วยตัวเองก่อน จนไม่ไหวแล้วจึงขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็มักไม่ค่อยได้รับความสนใจหากอาการไม่หนักมากจริงๆ
- องค์กรยังไม่ให้ความสำคัญในการส่งเสริม ป้องกัน ช่วยเหลือพนักงานด้านสุขภาพจิตอย่างเหมาะสมกับปัญหาสุขภาพจิตในแต่ละระดับ หรือยังไม่มีวิธีการนำนโยบายด้านสุขภาพจิตลงสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ จึงมักจะจัดการปัญหานี้ในเชิงตั้งรับ แก้ไขเป็นกรณีไป
ช่องว่างและโอกาส
- องค์กรที่กำลังโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ขึ้น มักจะมีแรงกดดันสูงและยังไม่มีระบบดูแลสุขภาพจิตพนักงาน พนักงานจะมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต
- การได้ตัวเลขผลตอบแทนของการลงทุนด้านสุขภาพจิต (ROI) ในองค์กร จะทำให้ผู้บริหารเห็นความสำคัญที่จะลงทุนในการจัดการกับปัญหานี้
- ผู้ที่นำลงสู่การปฏิบัติ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล หรือหัวหน้างาน ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะเกี่ยวกับสุขภาพจิต (Psychological literacy) และมีระบบติดตามผลที่ดีด้วย จึงจะทำให้เกิดระบบดูแลพนักงานด้านสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ที่จะทำให้พนักงานเกิดปัญหาสุขภาพจิต ส่วนใหญ่ป้องกันได้
- ในหลายกรณี หากพนักงานรู้ตัวเร็ว ยอมรับปัญหา และกล้าขอความช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสม ปัญหาก็จะถูกคลี่คลาย ไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่
- พนักงานรุ่นใหม่ (Gen Y-Z-M) กล้าที่จะพูดและบอกความต้องการของตัวเองด้านสุขภาพจิตมากขึ้น
- พื้นที่ปลอดภัยที่ต้นทุนต่ำที่สุด และช่วยพยุงสถานการณ์ตั้งแต่เล็กไปจนใหญ่ได้ คือ การสังเกต รับฟัง และการโค้ช จากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน
- ส่วนมากพนักงานจะเริ่มต้นจัดการปัญหาสุขภาพจิตด้วยการหาคนคุย หรือใช้แบบประเมินสุขภาพจิตและแอปพลิเคชั่นด้วยตนเองก่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ช่วยให้เข้าใจตนเองมากขึ้น และคำแนะนำในการปฏิบัติก็ไม่เฉพาะเจาะจง
- พนักงานสบายใจที่จะใช้บริการปรึกษาด้านสุขภาพจิตภายนอกมากกว่าที่ปรึกษาภายในองค์กร เพราะกลัวการตีตราและมีผลกระทบกับการประเมินงาน
- บริการปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่มีให้ใช้ฟรี รอคิวนาน ค่าปรึกษาจิตแพทย์รพ.รัฐ ครั้งละ 500-1,000 บาท เอกชน 1,000-3,000 บาท
- แผนประกันสุขภาพที่ครอบคลุมด้านสุขภาพจิตมีน้อย และส่วนใหญ่เบิกได้สำหรับการรักษาที่จิตแพทย์สั่งจ่ายยาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมบริการด้านดูแลสุขภาพจิตด้านอื่นๆ เช่นการปรึกษา นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่มีสวัสดิการให้พนักงานเบิกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต
- ลูกจ้างสามารถมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการที่ตรงกับความต้องการของพนักงานด้วยกลไกคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ
- มีผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต ที่ให้บริการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างเป็นระบบ (คัดกรอง ส่งเสริม ป้องกัน รักษา) ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและสำหรับองค์กรโดยเฉพาะ