ปัญหาการรับมือภัยพิบัติจาก Climate Change

ปัญหาการรับมือภัยพิบัติจาก Climate Change

เมื่อโลกไม่เหมือนเดิม ภัยพิบัติจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

image
💡

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกเฉลี่ยเจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติกว่า 1 ครั้งต่อวัน และแนวโน้มกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ — ทั้งจำนวนครั้ง ความรุนแรง และมูลค่าความเสียหายที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ ปี 2566 เพียงปีเดียว มีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติเกือบแสนคน ขณะที่ประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้น ผลกระทบจาก Climate Change ทำให้ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้เมื่อปลายปี 2567 คือเครื่องเตือนใจว่าภัยพิบัติไม่ใช่แค่ข่าวจากต่างประเทศ แต่คือความจริงที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวคนทุกคนได้

image

สถานการณ์ปัญหา

ศูนย์วิจัยการระบาดวิทยาทางภัยพิบัติ (Centre for Research on the Epidemiology of Disaster: CRED) รายงานว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2546-2565) โลกเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ 8 ประเภท ได้แก่ ภัยแล้ง แผ่นดินไหว สภาพอากาศสุดขั้ว อุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย ไฟป่า และภูเขาไฟระเบิด โดยมีอัตราการเกิดเฉลี่ยปีละ 369 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 64,148 คน มีผู้ได้รับผลกระทบเฉลี่ยปีละ 175.5 ล้านคน และมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 1.96 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ 

เมื่อพิจารณาข้อมูลในปี พ.ศ. 2566 พบว่า สถานการณ์ด้านภัยพิบัติมีความรุนแรงและเลวร้ายกว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีตัวเลขเพิ่มขึ้นมากทั้งจำนวนการเกิดเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีการบันทึกภัยพิบัติ 399 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 86,473 คน มีผู้ได้รับผลกระทบ 93.1 ล้านคน และมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 2.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ  นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ภัยพิบัติมีความรุนแรงมากขึ้นทั้งในเชิงความถี่และผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้น

image
แนวโน้มสถานการณ์ในประเทศไทยก็เช่นกัน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบจาก Climate Change ทำให้เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น เช่น น้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้นกว่า 230 ครั้ง ภัยแล้งเกิดขึ้นกว่า 40 ครั้ง ภัยจากความร้อนและไฟป่าเกิดขึ้นกว่า 180 ครั้ง ภัยจากพายุและลูกเห็บที่รุนแรงเกิดขึ้นกว่า 20 ครั้ง ตัวอย่างหนึ่งคือในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2567 ภาคใต้ของไทยประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และมีครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายกว่า 534,000 ครัวเรือน ซึ่งภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำถือเป็นประเภทที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประเทศไทย
image
image

ประเด็นที่น่าสนใจ

  • Climate Change ส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อกลุ่มคนที่เปราะบางในสังคม เนื่องจากมีข้อจำกัดทางทรัพยากรในการเตรียมความพร้อมและรับมือต่อภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบมากกว่าและฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนกลุ่มอื่น ตัวอย่างปัญหาที่คนยากจนและชุมชนชายขอบต้องเผชิญกับผลกระทบโดยตรง เช่น ปัญหาสุขภาพจากคลื่นความร้อนหรือมลพิษทางอากาศ (ฝุ่น PM2.5) เนื่องจากต้องทำงานในพื้นที่โล่งหรือกลางแจ้ง และไม่สามารถซื้อเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศได้ ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ประกอบอาชีพพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เกษตรกรและชาวประมง และ ปัญหาความเป็นอยู่ เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีพื้นที่ต่ำและขาดระบบการป้องกันน้ำท่วมที่ดี ทำให้ต้องเผชิญกับการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ความเสียหายด้านทรัพย์สินไม่มีประกันรองรับ รวมถึงปัญหาด้านเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำให้ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากรัฐได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผลกระทบที่ได้รับจาก Climate Change ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น
  • แนวโน้มความเสียหายจากภัยพิบัติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต แต่มาตรการรับมือ การป้องกัน และการลดความสูญเสีย ยังมีช่องว่างและอุปสรรคหลายด้าน ขณะเดียวกันเกิดคำถามว่า ข้อมูล องค์ความรู้ และนวัตกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพียงพอและทันต่อการรับมือกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม่ ซึ่งหากต้องการข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติจาก Climate Change สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล เช่น UN Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR), The International Disaster Database (EM-DAT), Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) และฐานข้อมูลในประเทศไทย เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เป็นต้น
image
image

โอกาสในการแก้ปัญหา

  • เตรียมความพร้อมของประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติ ด้วยการให้ความรู้และฝึกฝนการประเมินสถานการณ์ การเตรียมความพร้อม และการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านการจัดทำหลักสูตรภัยพิบัติตั้งแต่ในระดับโรงเรียน และระดับชุมชน
  • การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติในระดับครัวเรือน โดยการวางแผนและทำความเข้าใจถึงแนวปฏิบัติร่วมกันในครอบครัวเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติฉุกเฉิน เช่น แผนการอพยพหรือจุดนัดหมายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบภายในครอบครัว การจัดเตรียมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการเอาชีวิตรอดของครอบครัว รวมถึงมีการทำความเข้าใจ ซักซ้อม หรือปรับแผนของครอบครัวอย่างต่อเนื่องประจำทุกปี
  • สนับสนุนกลไกการรับมือภัยพิบัติระดับชุมชน เพื่อเป็นศูนย์กลางของการเตรียมความพร้อมและรับมือกับภัยพิบัติ เช่น การให้ความรู้เชิงปฏิบัติการแก่ชุมชน การฝึกซ้อมอพยพในระดับชุมชนเป็นประจำ การมีศูนย์เพื่อรับมือภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์พื้นฐาน การใช้เทคโนโลยีแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์และเสียงตามสายของชุมชน
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น โดยนำแนวคิดเรื่องการจัดการน้ำและการวางผังเมืองมาพัฒนาร่วมกัน เช่น การทำพื้นที่รับน้ำ (Retention Zones) หรือบ้านลอยน้ำ เป็นต้น
image

ตัวอย่างไอเดียเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติจาก Climate Change

  • การรับมือภัยพิบัติด้วยระบบอาสาสมัครของชุมชน - แนวคิดจากชุมชนบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา คือ การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติด้วยระบบอาสาสมัครของชุมชนโดยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความร่วมมือภายในชุมชน เพื่อจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งจากภายในและภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมพร้อมนี้ไม่ใช่การป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้น แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด หากเกิดภัยขึ้น ชุมชนจะสามารถจัดการคน พื้นที่ และทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างมีเหตุผล โดยมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างเป็นระบบและไม่สับสนเมื่อเกิดวิกฤต
  • เครื่องเตือนภัยน้ำท่วมราคาประหยัด (Low-cost flood alert) วิศวกรในหมู่บ้านจากประเทศอินเดียได้คิดค้นระบบวัดระดับน้ำและระบบแจ้งเตือนน้ำท่วมในระดับหมู่บ้าน โดยติดตั้งเครื่องเตือนภัยในคลองระบายน้ำของหมู่บ้าน เพื่อเตือนชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงเมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน ต้นแบบนี้มีต้นทุนการผลิตไม่ถึง 2,000 บาท และมีการขยายแนวคิดนี้โดย NGOs ด้านภัยพิบัติในพื้นที่ชนบท
  • สวนลอยน้ำ’ แหล่งอาหารสำคัญในสภาวะภัยพิบัติ - ในบังคลาเทศ สวนลอยน้ำสามารถเป็นแหล่งอาหารสำคัญของเกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม สวนลอยน้ำถูกสร้างขึ้นโดยการถักทอและซ้อนกันของพืชหลายชั้น มีความหนาประมาณ 3 ฟุต เพื่อให้เป็นเหมือนแปลงยกพื้น (raised-bed gardens) ที่สามารถลอยน้ำได้ จากนั้นเกษตรกรจะปลูกผักลงไปบนแปลงลอยน้ำเหล่านี้ และเมื่อฐานพืชเริ่มย่อยสลายก็จะปล่อยสารอาหารออกมาและช่วยหล่อเลี้ยงพืชผักที่ปลูกไว้ได้ ไอเดียนี้ทำให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกเพื่อขายและยังชีพได้แม้ต้องเผชิญอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วม
image
image

ชวนเข้าร่วม Classroom A Unmet Need

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาปัญหาสังคมที่น่าทำ (Unmet Need) หรือนักเปลี่ยนแปลงที่กำลังสนใจหรือลงมือทำโปรเจกต์เพื่อแก้ปัญหาการรับมือภัยพิบัติจาก Climate Change และยังต้องการหาช่องว่าง โอกาสหรือวิธีการในการพัฒนาไอเดียนวัตกรรมทางสังคมเพื่อแก้ไขปัญหานี้

School of Changemakers ร่วมกับ @TK Park อุทยานการเรียนรู้ เปิดห้องเรียนนักเปลี่ยนแปลงมาร่วมพัฒนาไอเดียเพื่อแก้ปัญหาการรับมือภัยพิบัติจาก Climate Change ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้นักเปลี่ยนแปลงมองเห็นช่องว่างหรือโอกาสในการออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและสามารถขยายผลได้ . วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้อง Workshop 1-2 อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

สนใจอ่านรายลละเอียดได้ที่