เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิจกรรมที่เราจัดประสบความสำเร็จ หรือ เราจะเพิ่มศักยภาพ สร้างการเรียนรู้ให้ทีมทำงานได้อย่างไรบ้าง
คนที่สนใจอยากเริ่มต้นทำพื้นที่เรียนรู้ หรือผู้ที่ทำงานสร้างพื้นที่เรียนรู้อยู่แล้ว สามารถทบทวนคำถามสำคัญเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ของพื้นที่ตัวอย่าง เพื่อออกแบบและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย มีการวัดผลเพื่อประเมินการดำเนินงานที่ชัดเจน และเสริมสร้างศักยภาพของคนทำงานให้มีทักษะในการดูแลกลุ่มเป้าหมายและเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เกิดขึ้นทุกวัน
- การจัดกิจกรรมให้เด็กและเยาวชนแต่ละช่วงวัย
เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน กิจกรรมที่จัดขึ้นจึงควรเกื้อให้เด็กได้มีพัฒนาการตามช่วงวัย
1.1 ปฐมวัย
โรงเล่น มีกิจกรรมสำหรับเด็กเล็กอายุ 3-7 ปี คือการเล่นอิสระในห้องของเล่นและได้ลองทำของเล่นอย่างง่าย เพื่อให้เด็กเล็กได้ฝึกจินตนาการและเรียนรู้ที่จะเล่นกับคนอื่น ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ผู้ปกครองที่กำหนดให้เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมลูก เพราะโรงเล่นเชื่อว่าของเล่นที่ดีที่สุดของเด็กคือพ่อแม่ผู้ปกครอง
สิริเมืองพร้าว อยู่ในพื้นที่ที่มีทั้งเด็กพิเศษ เด็กไร้สัญชาติที่มีข้อจำกัดด้านภาษา เด็กที่ได้ไปโรงเรียน และเด็กที่ได้รับโอกาสจึงมีทักษะการเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ดังนั้น ต้องมีความละเอียดอ่อนในการทำกระบวนการที่ทุกคนได้เรียนรู้เท่า ๆ กัน บางครั้งอาจจะต้องมีกิจกรรมเสริมให้คนที่ช้าทันเพื่อน หรือให้คนที่เร็วช้าลง นอกจากทักษะที่ไม่เท่ากันแล้วยังมีเรื่องแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่น เด็กบางคนไม่ชอบการแข่งขันก็ควรจะมีความสุขอยู่กับการเรียนรู้กับเพื่อนได้ เพราะเป้าหมายหลักคือคนในชุมชนไปต่อด้วยกัน ดังนั้น ท้ายกิจกรรมจะไม่มีการจัดอันดับว่าใครเก่งที่สุดแต่ให้รางวัลตามทักษะ เช่น รางวัลความพยายาม รางวัลความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
1.2 วัยประถม
กิจกรรมสำหรับวัยประถม อายุ 8 - 10 ปี ของโรงเล่น คือได้เริ่มทำของเล่นที่เป็นมือคีบ เพิ่มความยากจากน้องเล็ก ให้มีความท้าทายและดึงดูดความสนใจของเขา แต่ไม่ให้โจทย์ยากจนเกินไปนัก เพื่อให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาความคิด สร้างของเล่นเองจากวัสดุอุปกรณ์ที่เห็นอยู่รอบตัว พัฒนากล้ามเนื้อในการทำงาน และทักษะทางสังคม ขณะทำงานร่วมกับเพื่อนคนอื่น ๆ
1.3 วัยรุ่น
บ้านไร่อุทัยยิ้ม ออกแบบกิจกรรมบนฐานการเรียนรู้เดิมแต่ปรับตามบริบทที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายในแต่ละปี กระบวนการก็ต้องสร้างการเรียนรู้ตามระดับความสามารถของเด็กกลุ่มนั้น ๆ บางรุ่น 80% เป็นเด็กพิเศษ เป็นเด็กจีเนียส ก็จะไม่สามารถออกแบบกิจกรรมได้อย่างเด็กรุ่นอื่น ต้องใช้ศิลปะมาช่วย เช่น การปั้นดิน เป็นต้น ในฐานะผู้จัดกระบวนการก็เรียนรู้อยู่เสมอ ต้องอดทน โอบอุ้มเด็ก ๆ เป็น อย่างเด็กเกเรียน ไม่ชอบห้องเรียน ก็พาเข้าป่า ชวนเป็นไกด์ เพราะวิถีชีวิตของเขาคือสำรวจป่า ส่วนรุ่นล่าสุดรักการทำเพื่อชุมชนมากแต่ไม่มีความสามารถเลย ก็ต้องปรับให้เรียนรู้ทักษะมากกว่าความรักในชุมชน
โรงเล่น จัดกิจกรรมสำหรับเด็กวัยรุ่น โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุ คือ 11 - 14 ปี และ 15 - 18 ปี กลุ่มแรกจะได้ทำของเล่นกลไก Automata เช่น ของเล่นไขลาน เพิ่มความซับซ้อนในกระบวนการให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวัยของเขา ส่วนกลุ่มที่สองจะได้ร่วมออกแบบ วางแผน และลงมือทำของเล่นชิ้นใหญ่และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น ของเล่นรางลูกแก้วหลายชั้น โดยเด็กโตรุ่นอายุ 15- 18 ปี โรงเล่นออกแบบให้เด็กเรียนรู้และลงมือทำเอง พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถอยู่ในพื้นที่ได้แต่ไม่อนุญาตให้เข้ากระบวนการ เพราะบางครั้งผู้ปกครองมักจะทำแทน หรือพูดแนะนำมากจนเด็กไม่มีสมาธิ ไม่กล้าทำ กลัวผิด และไม่รู้สึกว่านี่คือพื้นที่ปลอดภัย
- วัดผลกิจกรรมจากพัฒนาการของเด็กและเยาวชน
การวัดผลกิจกรรมของแต่ละพื้นที่เรียนรู้มีความแตกต่างกัน สามารถแบ่งวิธีวัดผลได้เป็น 2 แบบคร่าว ๆ ดังนี้
2.1 สังเกตและวิเคราะห์
แบบแรกคือวิทยากรหรือพี่เลี้ยงจะสังเกตพฤติกรรมของเด็กในวันที่มาเข้าร่วมกิจกรรมจนกระทั่งจบกิจกรรมด้วยสายตา ซึ่งอาจสังเกตเป็นภาพรวมและรายบุคคล หรืออาจมีการสอบถามเด็กบ้าง ขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เข้าร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ โดยจะดูว่าเด็กมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหรือไม่ หรือ เด็กมีความเข้าใจในเนื้อหาที่สอนหรือไม่ อย่างไร หลังจากนั้นจะนำข้อสังเกตของพี่เลี้ยงทุกคนมาแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ร่วมกันในตอนท้ายกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ากิจกรรมที่จัดไปนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ มีอะไรอีกบ้างที่ต้องพัฒนาปรับปรุง
ข้อดีของการวัดผลแบบนี้ คือ ผู้จัดกิจกรรมสามารถสัมผัสความรู้สึกของเด็กได้โดยตรง และการเรียนรู้บางอย่างไม่สามารถวัดผลได้ในแบบประเมินหรือการให้คะแนน อีกทั้งไม่ต้องออกแบบระบบการวัดผลตั้งแต่ต้นซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน และสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้แทบจะทันที เหมาะกับกิจกรรมระยะสั้น เช่น กิจกรรม 1 วัน หรือค่ายระยะสั้น (2-3 วัน) เป็นต้น หากการวัดผลเช่นนี้อาจทำให้ยากในการรวบรวมข้อมูลผลกระทบเพื่อขอทุนกับแหล่งทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคเอกชน ที่มักต้องการเห็นผลกระทบทางสังคมชัดเจน
ตัวอย่างพื้นที่เรียนรู้ที่ใช้วิธีการสังเกตและวิเคราะห์ คือ กลุ่มใบไม้ สำนักกิจกรรมกิ่งก้านใบ สิริเมืองพร้าว บ้านไร่อุทัยยิ้ม
2.2 จัดกระบวนการและบันทึกละเอียด
การวัดผลแบบที่สองคือ มีการพูดคุยกับเด็กรายบุคคลตั้งแต่เริ่มเข้าร่วมกิจกรรมว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ทั้งร่างกาย จิตใจ พัฒนาการ ครอบครัว และด้านอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของตัวเด็ก และมีการวัดผลเป็นระยะ คือระหว่างกิจกรรมและหลังจบกิจกรรม บางพื้นที่เรียนรู้มีการประเมินเด็กจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู เป็นต้น เพื่อให้เห็นพัฒนาการเด็กอย่างรอบด้านที่สุด นำไปสู่การดูแลเด็กแต่ละคนให้ตรงจุดมากขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมและบันทึกไว้อย่างละเอียด เพื่อให้เห็นพัฒนาการของเด็กแต่ละคนที่ผ่านแต่ละกิจกรรมไป
ข้อดีของการวัดผลแบบที่สอง คือ มีข้อมูลและหลักฐานที่สามารถย้อนกลับไปดูได้ว่ากิจกรรมใดบ้างที่ส่งผลกับตัวเด็ก เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่เปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด เห็นทุกมิติของชีวิตเด็กหนึ่งคน เหมาะกับ กิจกรรมระยะยาว เช่น โครงการพัฒนาศักยภาพ (ระยะเวลา 6-8 เดือน) หรือพื้นที่ที่มีระบบสมาชิกให้เข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง หากแต่ใช้เวลานานในการเก็บรวบรวมข้อมูลและติดตามผล
ตัวอย่างพื้นที่เรียนรู้ที่ใช้วิธีการจัดกระบวนการและบันทึกละเอียด คือ คลองเตยดีจัง Life Education โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้
- การสร้างศักยภาพให้ทีมงานและพี่เลี้ยง (Play Worker)
พื้นที่เรียนรู้มิได้เป็นเพียงพื้นที่สำหรับเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ให้ผู้ใหญ่เรียนรู้การทำงาน สร้างทักษะ และพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพื่อให้สามารถดูแลเด็กได้ด้วย พื้นที่เรียนรู้หลายแห่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนทำงานอย่างมาก บางแห่งส่งทีมงานไปเรียนรู้ในพื้นที่อื่น บางแห่งจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นหนึ่งในขั้นตอนการทำงาน แต่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับเด็กนั่นเอง
3.1 เรียนรู้ในพื้นที่อื่น
ทีม Life Education พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ด้วยหัวใจของ Life Education ที่มีการเรียนรู้ตลอด สมิตจึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของทีมงาน โดยมี ปรัชญาองค์กรว่า “Better Everyday” ซึ่งคำว่า ‘ดีขึ้น’ ของ Life Education นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลงานแต่เป็นการเรียนและการพัฒนาตัวเองด้วยจิตวิทยาเชิงบวกของสมาชิกทีมแต่ละคน เนื่องจากสมิตและจูลี่มองว่าโจทย์ทางสังคมนั้นมีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราทุกคนจะต้องพร้อมต่อสู้กับมัน ไม่ใช่แค่กลุ่มเป้าหมาย
3.2 จัดกระบวนในพื้นที่
สิริเมืองพร้าว เป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับทีมของตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่า “เป็นหน้าที่ของคนทำพื้นที่เรียนรู้ที่จะเปิดพื้นที่ให้ตนเองและทีมงานเรียนรู้ไปด้วยกัน” ดังนั้น ในวงประชุมมีการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น บางครั้งต้องปล่อยให้ทีมทำแม้เกดจะรู้ว่าไอเดียนี้ทำแล้วอาจจะไม่ได้ผลที่ต้องการ เมื่อจบงานจะชวนทีมงานทบทวนว่าติดที่ตรงไหน เพราะหากคัดค้านแต่แรก สถานการณ์อาจไม่เป็นไปอย่างที่คิดได้ แผนที่วางมาอาจไม่เป็นไปตามแผนทุกครั้ง ถือเป็นการเรียนรู้และเดินไปด้วยกัน
องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างพื้นที่เรียนรู้คือ ‘คน’ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือกระบวนการที่พัฒนาให้ทั้งกลุ่มเป้าหมายและคนทำงานได้มีทักษะและศักยภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้พื้นที่หนึ่งหนึ่ง เป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับทุกคน