หากเราต้องการพัฒนาเด็กและเยาวชนบ้าง เราจะเริ่มทำพื้นที่เรียนรู้อย่างไรให้ยั่งยืน?
ในการเริ่มทำพื้นที่เรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน มีบทเรียนสำคัญมากมายที่น่าแบ่งปันให้ผู้ที่สนใจเดินทางในเส้นเดียวได้เตรียมตัวและเสริมความมั่นใจกันก่อน ซึ่งสิ่งที่ผู้ริเริ่มหลายคนมีประเด็นร่วมกัน คือ การหาต้นทุนสำคัญเพื่อใช้ตั้งต้น คิดและทดลองกิจกรรมจนสามารถพัฒนาโมเดลการทำงาน
- เริ่มจากสิ่งที่มีอยู่
- เริ่มจากความสามารถและความสนใจที่ใช้ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้
ผู้ทำพื้นที่เรียนรู้มักเริ่มจากความสามารถและความสนใจของตัวเองมาเป็นทุนตั้งต้น อย่าง เกดและกาญ สิริเมืองพร้าว สองพี่น้องผู้เติบโตมาในบ้านที่มีหนังสือและมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเพื่อมาประชุมงานชุมชนกับพ่อ พวกเธอจึงคุ้นเคยกับกระบวนการทำงานกับชุมชนเป็นอย่างดี ความรักในการอ่านการเขียนของเกดได้พาเกดไปทำงานด้านสื่อ ส่วนกาญก็ทำงานมูลนิธิเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็ก เมื่อพ่อเริ่มชราลงและกาญตั้งท้อง ทั้งสองจึงได้กลับเมืองพร้าว จ.เชียงใหม่ และตัดสินใจสร้าง ‘ห้องสมุดจินดา’ และ ‘สิริเมืองพร้าว’ เพื่อเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับคนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ โดยเกดใช้ความสามารถด้านศิลปะ การทำสื่อ และการคิดกระบวนการในการออกแบบและสื่อสารให้สิริเมืองพร้าวเป็นพื้นที่เรียนรู้ที่ดีและสวยไม่แพ้ที่ไหน ๆ ส่วนกาญก็ใช้ทักษะและประสบการณ์มาออกแบบกระบวนการ ตั้งโจทย์การเรียนรู้ที่สนใจให้ลูกและเด็กที่มีความหลากหลายในชุมชนเรียนรู้ร่วมกัน อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าความสนใจความสามารถของเราไม่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการหรือเด็กอย่างตรงไปตรงมาเสมอไป หากเรารู้จักข้อดีจุดเด่นของเราแล้วก็สามารถนำมาพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ได้เช่นกัน เพียงแค่เรามองให้เป็นต้นทุน
- เริ่มจากการมองชุมชนเป็นพื้นที่เรียนรู้ รู้ให้ลึกให้กว้างว่าพื้นที่ของเรามีอะไร
นอกจากความสามารถและความสนใจ เราก็สามารถเริ่มทำพื้นที่เรียนรู้จากตัวพื้นที่ที่เราต้องการสร้างการเรียนรู้ได้ ด้วยการสำรวจและศึกษาพื้นที่ให้มากพอที่เห็นต้นทุน โดยไม่ต้องรู้จักทั้งหมดโดยทันที เมื่อเห็นต้นทุนแล้ว อาจจะแบ่งทำความรู้จักให้มากขึ้นผ่านกิจกรรมเรียนรู้ก็ได้เช่นกัน พื้นที่สำหรับสร้างพื้นที่เรียนรู้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ พื้นที่ในชุมชนของเรา และ พื้นที่ที่เราอยากไปสร้างพื้นที่เรียนรู้ ซึ่งแต่ละประเภท มีวิธีตั้งต้นยากง่ายไม่เหมือนกัน
หากเป็นคนในพื้นที่ เราอาจมีต้นทุนในการรู้จักพื้นที่และผู้คนมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องเตรียมตัว ลองสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยการตั้งโจทย์การลงพื้นที่ในการค้นหาว่ายังมีอะไรที่เรายังไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นอีกบ้าง พร้อมกับทำความเข้าใจผู้คนในชุมชนให้มากกว่าที่เราเคยรู้จักเพื่อสำรวจสถานการณ์ปัญหาของชุมชนและกลุ่มเป้าหมาย ซัม กลุ่มยังยิ้มเป็นหนึ่งในหลาย ๆ พื้นที่เรียนรู้ที่เริ่มจากพื้นที่ของตนเอง ย้อนกลับไป 10 กว่าปีก่อน ซัมเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนบ้านเกิด อ.แว้ง จ.นราธิวาส และค้นพบสถานที่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน คือ ป่าฮาลา-บาลา ที่สวยและอุดมสมบูรณ์มากเสียจนอยากให้คนอื่นมาเห็นด้วย ซัมจึงอยากตอบแทนโรงเรียนและชุมชนของเขาด้วยการทำให้ป่าแห่งนี้กลายเป็นหมุดหมายของการเรียนรู้ธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของ อ.แว้ง และกลายเป็นพื้นที่นี้ดีจังของกลุ่มยังยิ้มในที่สุด
ในกรณีที่ต้องการสร้างการเรียนรู้ในพื้นที่อื่น เราจำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จักชุมชนทั้งในภาพรวมและเชิงลึก รู้จักคนใหม่ ๆ ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงาน หรือแม้กระทั่งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่อยากจะทำงานด้วย ซึ่งอาจใช้เวลาในการก่อร่างความสัมพันธ์ เพราะการทำงานเด็กและเยาวชน เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำงานกับชุมชน ดังนั้นความไว้ใจจากชุมชนสำคัญมาก หากงานของเราไม่ได้รับความไว้ใจจากชุมชน ย่อมไม่มีเด็กคนไหนมาใช้บริการงานของเรา แอน พลังโจ๋ไม่ได้อยู่บ้านที่จ.แพร่ ไม่เคยทำงานในพื้นที่มาก่อน และไม่รู้จักใครเลย แอนจึงเริ่มต้นด้วยการเข้าหาเด็ก ๆ ทางกลไกชุมชน ทำงานกับผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลเด็กกลุ่มพฤติกรรมหลากหลายนี้ โดยเข้าไปแนะนำตัวเองว่าเราเป็นใคร ทำอะไร ตั้งใจจะทำอะไรให้เกิดอะไร และพูดคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ นอกเหนือจากเรื่องงาน เพื่อให้อีกฝ่ายเปิดใจมากขึ้น ไว้ใจและทำให้งานราบรื่นขึ้น เช่นเดียวกับ ป้าโก้ บ้านไร่อุทัยยิ้มที่ย้ายมาจากกรุงเทพ สิ่งแรกที่ป้าโก้ทำคือศึกษาพื้นที่ก่อนว่ามีอะไรที่น่าทำงานด้วยบ้าง โดยป้าโก้ชี้เป้ามาก่อนว่าเด็กคือคนในชุมชนที่อยากทำงานด้วยแล้วจึงเข้าไปขอชั่วโมงเรียนกับทางโรงเรียนขยายโอกาสในพื้นที่ เพื่อทำกระบวนให้เด็กสอนป้าโก้เกี่ยวกับพื้นที่ เด็กที่ไม่ได้รับโอกาส เด็กที่ถูกมองว่าเกเรเกเรียนก็ผลัดกันแนะนำของดีชุมชนให้ป้าโก้ และนอกจากบ้านไร่จะเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมแล้ว ป้าโก้ยังพบอีกของดีของบ้านไร่คือเด็ก ๆ ที่เป็นคนในชุมชนและมีความเจ้าสงสัย อยากรู้ อยากลอง เป็นคุณลักษณะที่ดี น่าพัฒนา หากได้เข้ากระบวนการที่เหมาะสม
- เริ่มจากสถานการณ์หรือปัญหาของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแก้ไข
เมื่อทำความรู้จักพื้นที่มากพอจนเห็นปัญหาในพื้นที่ จะทำให้อยากผู้ที่มีใจทำงานด้านเด็กและเยาวชนอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เช่น อ๊อด กิ่งก้านใบสังเกตเห็นชุมชนว่ามีพื้นที่ที่เอื้อให้เด็กมั่วสุม มีสถานการณ์ปัญหายาเสพติดและท้องไม่พร้อม จึงพูดคุยกับเด็กในพื้นที่ โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเปราะบางที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายว่าพวกเขาต้องการอะไรบ้าง จนได้คำตอบ คือ เด็กไม่มีพื้นที่สร้างสรรค์ให้แสดงออก เพราะฉะนั้นงานของกิ่งก้านใบคือการเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ๆ ได้มาใช้และแสดงความเป็นตัวตนของเขาออกมาอย่างสร้างสรรค์
- คิดกิจกรรมและทดลองทำ
เมื่อรู้จักพื้นที่ดีแล้ว ผู้เริ่มพื้นที่เรียนรู้มักจะคิดกิจกรรมที่ชวนเด็กเข้ามามีส่วนร่วม ตั้งเป้าหมายและทดลองทำ ซึ่งแต่ละคน แต่ละกิจกรรม และแต่ละพื้นที่ก็เอื้อให้เกิดการทดลองในหลายรูปแบบ แบ่งเป็น
- จัดกิจกรรมในหลากหลายพื้นที่
แอ๋ม คลองเตยดีจัง เริ่มทำงานจิตอาสาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนทำงานประจำเป็นพยาบาลก็ยังไปค่ายอาสาตามพื้นที่ต่าง ๆ เช่น บนดอย พื้นที่เปราะบาง พื้นที่ห่างไกลต่าง ๆ และหนึ่งในพื้นที่อาสาคือ ชุมชนคลองเตย กรุงเทพมหานคร โดยจัดกิจกรรมอาสาสอนดนตรีทุกวันเสาร์ให้เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ช่วงแรกแอ๋มยังไม่ได้คิดว่าจะทำงานนี้ในระยะยาว แต่ด้วยสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เมื่อมาทำงานแล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของเด็ก และเริ่มผูกพันกับเด็ก ๆ จึงเป็นสาเหตุให้แอ๋มทำงาน คลองเตยดีจัง แบบเต็มตัวและต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 10 ปี
- ลองทำหลายกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายเดิม
ตุ้ม Feel Tripเริ่มต้นคิดกรอบข้อเสนอโครงการ ในชื่อ Storyteller in Journey เป็นต้นแบบแรก (Prototype) เกิดจากวิเคราะห์สถานการณ์การศึกษาว่า การศึกษาในระบบทำให้เด็กไม่สามารถจะมีความฝันได้อย่างเต็มที่ เพราะเด็กไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของการเรียนรู้และเงินทุนอย่างเต็มที่ Storyteller in Journey จึงต้องการจะคืนอำนาจการถือเงินให้กับเด็ก เพื่อพิสูจน์ว่าถ้าเด็กคนหนึ่งมีอำนาจการจัดการภายใต้งบประมาณ เขาจะโลดแล่นไปในทิศทางที่เขาต้องการได้หรือไม่ โดยมีเงินตั้งต้นกองละ 3,000 บาท 20 กอง เปิดรับสมัครหาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ชวนมาสร้างเมืองการศึกษาด้วยกัน หลังจบโปรเจกต์นี้ ตุ้มพูดคุยกับคนที่เข้ามาร่วมและได้ไอเดียใหม่ เกิดเป็น Prototype ที่ 2 คือ ‘Feel Trip’ ซึ่งมีความเชื่อว่า “เราทุกคนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์” และเป็นโมเดลที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
- ทดสอบกิจกรรมกับหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย ด้วยเป้าหมายเดียว
ช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด 19 สิริเมืองพร้าวจัดตลาดนัด 2 ครั้ง เป็นกิจรรมที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากชุมชน ตลาดนัดแรกคือกาดนัดละอ่อน (ตลาดนัดเด็ก) ที่ต้องการให้เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะชีวิต ลองคิดไอเดียการขาย คิดเงิน ต่อรองกับลูกค้า และที่สำคัญ ได้มีโอกาสในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์กับครอบครัวผ่านการปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่ว่าบ้านของเรามีอะไรสามารถไปขายได้บ้าง และจากความสำเร็จของกาดนัดละอ่อน ผู้ปกครองจึงขอจัดกาดนัดชาวบ้านบ้าง ทีมสิริเมืองพร้าวก็ทำหน้าที่ตั้งธีม จัดสถานที่แบ่งโซนผู้ปกครองกับแม่ค้าจริง ช่วยดูแลให้ของมีคุณภาพเพื่อให้ขายได้จริง และให้โจทย์เพื่อสอดแทรกการเรียนรู้
- เลือกโมเดลพื้นที่เรียนรู้
เมื่อกิจกรรมสร้างผลการเรียนรู้ตามเป้าได้ เราก็มาเลือกโมเดลการสร้างการเรียนรู้เพื่อจะทำงานได้ยาวๆ โดยการเลือกรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับพื้นที่ กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ทำ ก็ได้ ซึ่งผู้เลือกสามารถตัดสินใจจากความรุนแรงของปัญหาในพื้นที่ ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และความปราถนาของผู้ทำ โดยไม่มีถูกผิด เพียงหากเลือกให้โมเดลนั้นสามารถสร้างการเรียนรู้และพัฒนาการได้จริง ป้าโก้ บ้านไร่อุทัยยิ้มเลือกกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับพื้นที่ทำงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการดูแลป่า พื้นที่เหล่านี้มีผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีวัฒนธรรมและทรัพยากรที่รุ่มรวย แต่มีปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อน ส่วนทีมโรงเล่นเลือกโมเดลที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายโดยออกแบบพื้นที่ให้ใช้สำหรับกิจกรรมเพื่อกลุ่มเป้าหมายต่างวัย ตั้งแต่ เด็กปฐมวัย เด็กประถม และเด็กโต โดยตั้งเป้าหมายพัฒนาการตามช่วงวัย ในขณะที่เก่ง กลุ่มใบไม้ เลือกโมเดลที่เหมาะกับตัวคนทำ ซึ่งเก่งได้ตกตะกอนว่าสิ่งที่ชอบและสนใจที่สุดคือการอนุรักษ์ธรรมชาติ และชวนเพื่อนปากต่อปากหรือบนเว็บบอร์ดของวัยรุ่นยุค 90 อย่าง www.dek-d.com มาเป็นอาสาสมัครทำกิจกรรมช่วยชุมชนแก้ไขปัญหาคนกับป่าและคนกับสัตว์ และก่อตั้งเป็นกลุ่มใบไม้ในที่สุด
ไม่ว่าคุณจะสร้างการเรียนรู้สำหรับใคร ในพื้นที่ใด และรูปแบบไหน ขอให้คุณเริ่มต้นจากความสามารถและความสนใจของตัวเองก่อน จากนั้นสำรวจพื้นที่ คน เพื่อหาจุดเริ่มต้น ลงมือทดลองทำ และเลือกโมเดลที่คุณคิดว่าเหมาะสมในแบบของคุณเอง…พื้นที่เรียนรู้เกิดขึ้นได้ ขอแค่เพียงลงมือทำ!